มาเช็คกัน อาการแบบนี้ออฟฟิศซินโดรมแน่ๆ !!

ออฟฟิศซึ้นโดรม

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ออฟฟิศหรือวัยเรียนปกติก็สามารถเป็นออฟฟิศซินโดรมได้ ยิ่งนั่งทำงานหน้าคอมนานๆ โอกาสเสี่ยงก็มากขึ้นอีก แต่พอเริ่มมีอาการ บางคนอาจไม่รู้ตัว ปวดนิดๆ หน่อยๆ ก็ปล่อยปละ ไม่สนใจ คิดว่าเดี๋ยวมันก็หายเอง แต่จริงๆ แล้วถ้าไม่รีบแก้ อาการจะหนักขึ้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ ถ้างั้นใครที่ยังสับสนว่าจริงๆ เราเป็นแล้วรึยัง ลองมาเช็คกันดีกว่า ว่าที่เป็นอยู่นี่ใช่ออฟฟิศซินโดรมหรือเปล่า?

6 Checklist อาการออฟฟิศซินโดรม

1. อาการปวดหัว หรือไมเกรน

อาการปวดหัว หรือไมเกรน

หลายๆ คนเวลาทำงาน ที่เลี่ยงไม่ได้เลย คือ ‘ความเครียด’ พอเราเครียดมากๆ เครียดทุกวันจนกลายเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว ก็จะทำให้เรารู้สึกปวดหัว พอเป็นบ่อยๆ ก็จะหนักขึ้น ปวดขึ้น จากนั้นก็สะสมเป็นไมเกรน ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนออฟฟิศซินโดรมอาการแรกๆ เลย เพราะฉะนั้น อย่ามองข้ามอาการปวดหัวเล็กๆ จนปล่อยให้ลามจะเป็นหนักนะ

2. อาการตาพร่ามัว

อาการตาพร่ามัว

ทุกคนคงเคยได้ยินว่าแสงสีฟ้ามันจะทำลายสายตา แต่การทำงานก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องดูหน้าจอไม่ว่าจะเป็นหน้าจอคอม หรือหน้าจอมือถือ จริงมั้ย? แต่ถ้าใช้สายตามาเกินไป จะทำให้ตาของเราพร่ามัวได้ สังเกตได้จากการที่อยู่ๆ เราก็รู้สึกว่าตัวหนังสือที่อ่านอยู่ทำไมไม่ชัด เมื่อกี้ยังชัดอยู่เลย หรือ อยู่ๆ รูปก็เบลอไปซะอย่างนั้น แต่จริงๆ การใช้สายตาเยอะ ไม่ได้ทำให้ตาพร่ามัวเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุให้เกิด ‘ความเครียด’ และ ‘อาการปวดหัว’ ได้อีกด้วย

3. อาการปวดตึงคอ บ่า ไหล่

อาการปวดตึงคอ บ่า ไหล่

ถ้าคุณเป็นมนุษย์ออฟฟิศ หรือ ทำอาชีพ ที่ต้องนั่งทำงานท่าเดิมๆ เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน คงจะหนีอาการออฟฟิศซินโดรมได้ยาก เพราะ การที่ต้องนั่งนานๆ สะสมเป็นประจำ กล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า ไหล่ จะทำงานหนักจากการเกร็งพิมพ์งานบ้าง จากการขาดความยืดหยุ่นบ้าง ถ้าเริ่มรู้สึกว่าปวดคอ ปวดบ่า เวลาจะหันหน้าไปคุยกับเพื่อน หรือปวดไหล่ร้าวลงมาถึงแขนแล้วล่ะก็ คุณกำลังเป็นออฟฟิศซินโดรมแล้ว

4. อาการปวดหลัง หรือร้าวที่หลัง

อาการปวดหลัง หรือร้าวที่หลัง

แค่เพียงการนั่งนานๆ ก็ทำให้ปวดหลังได้ ยิ่งถ้าที่นั่งไม่ถูกหลักสรีระศาสตร์อีก เช่น เบาะรองหลังนิ่มเกินไป ไม่มีเบาะรอง รูปทรงเอื้อให้นั่งหลังค่อม เก้าอี้/โต๊ะ สูงหรือต่ำเกินไป ก็ยิ่งทำให้ปวด และเร่งอาการออฟฟิศซินโดรมให้เกิดขึ้นเร็วไปอีก ลองกลับไม่เช็คกันนะ ว่าที่นั่งของเราตรงกับข้อไหนที่ได้บอกไปหรือเปล่า

5. นิ้วล็อค มือชา ปวดข้อมือ

นิ้วล็อค มือชา ปวดข้อมือ

อาการเหล่านี้ เกิดจากการที่เราใช้งานกล้ามเนื้อมือ กล้ามเนื้อนิ้วหนักเกินไป เช่นการจับเมาส์นานๆ จับแบบผิดท่า การเกร็งนิ้วพิมพ์คีย์บอร์ดทั้งวัน หรือแม้แต่ การจับปากกาเขียนหนังสือท่าเดิมๆ หลายชั่วโมง ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทบริเวณนั้นจนเกิดพังผืดยึดจับเป็นจำนวนมาก จนเกิดอาการนิ้วล็อค มือชา ปวดข้อมือได้

6. อาการปวดขา ขาชา

อาการปวดขา ขาชา

การนั่งทำงานนานๆ น้ำหนักตัวของเราก็จะกดไปบริเวณต้นขาด้วย เส้นเลือดดำที่ขาก็จะถูกกดทับ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร พอเลือดไหลเวียนได้น้อยกว่าปกติก็จะเกิดอาการชา และการที่เรานั่งนานจนกล้ามเนื้อขาไม่ได้ใช้งานนาน จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณขาอ่อนแรง จนทำให้ขาล้าได้

หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องป้องกัน

เราสามารถเลี่ยงอาการเหล่านี้ได้ง่ายๆ ด้วยการ…

1. ยืดเส้นยืดสาย

ออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย บิดขี้เกียจ ระหว่างที่ต้องทำงาน กล้ามเนื้อจะได้ไม่เกร็งในท่าเดิมๆ นานเกินไป หรือ ไปออกกำลังกายบ้างสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง เป็นการช่วยยืดคลายกล้ามเนื้อ

2. บำรุงสายตา

ป้องกันด้วยการใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า เวลาที่ต้องจ้องหน้าจอนานๆ หรือ กินอาหารที่มีวิตามินเอ เช่น ผัก ผลไม้ สีเหลือง ส้ม เขียว เนื้อสัตว์ ไข่แดง เป็นต้น ที่สำคัญคือ การพักสายตาในทุก 20 นาที

3. เก้าอี้เพื่อสุขภาพ

ถ้าต้องนั่งนานๆ ควรเลือกเก้าอี้ Ergonomic เพื่อป้องกันการปวดหลัง ปรับระดับที่วางแขนให้ขนานกับกับโต๊ะทำงาน จะได้ไม่เกร็งยกแขนเวลาทำงาน

แล้วคุณล่ะ!

หลังจากอ่านจบแล้ว คุณเป็นออฟฟิศซินโดรมแล้วหรือยัง? อย่าลืมปรับพฤติกรรมให้ลดโอกาสที่จะเป็นด้วยนะ ถ้ามีอาการปวดสามารถบรรเทาได้ด้วยน้ำมันสมุนไพร หรือถ้ามีอาการนิ้วล็อคใช้เครื่องนวดมือไร้สายบรรเทาอาการได้ค่ะ ^^